มา‌ระ‌โก-4

(ฉบับมาตรฐาน 2011)

切换到福音影视网-新版圣经

  • 1 อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช ( มธ.13:1-9 ; ลก.8:4-8 ) แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนจำนวนมากพากันมาเฝ้าพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเลลก.5:1-3และประชาชนอยู่บนฝั่ง
  • 2 พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า
  • 3 “จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
  • 4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย
  • 5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก
  • 6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
  • 7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล
  • 8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”
  • 9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”จุดประสงค์ของอุปมา
  • 10 ( มธ.13:10-17 ; ลก.8:9-10 ) เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงอุปมานั้น
  • 11 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ข้อความทุกอย่างจะแจ้งเป็นอุปมาแก่บุคคลภายนอก
  • 12 เพื่อว่าแม้พวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่จะมองไม่เห็นแม้ฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจมิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย” อสย.6:9-10พระเยซูทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช
  • 13 ( มธ.13:18-23 ; ลก.8:11-15 ) พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจะเข้าใจเรื่องอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร?
  • 14 ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ
  • 15 ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย
  • 16 ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี
  • 17 แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที
  • 18 ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้นได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ
  • 19 แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล
  • 20 ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”ตะเกียงที่ตั้งอยู่ใต้ถัง
  • 21 ( ลก.8:16-18 ) แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ตะเกียงมีไว้สำหรับตั้งใต้ถังหรือใต้เตียงนอนหรือ? ไม่ได้มีไว้สำหรับตั้งบนเชิงตะเกียงหรือ?มธ.5:15; ลก.11:33
  • 22 เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ที่จะไม่ถูกนำออกมาเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ที่จะไม่ถูกแพร่งพรายมธ.10:26; ลก.12:2
  • 23 ถ้าใครมีหู จงฟังเถิด”
  • 24 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดี พวกท่านจะให้คนอื่นด้วยปริมาณเท่าใด พวกท่านก็จะได้รับด้วยปริมาณเท่ากัน และพวกท่านจะได้รับมากยิ่งขึ้นแปลได้อีกว่า หนักกว่ามธ.7:2; ลก.6:38
  • 25 เพราะว่าใครมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้คนนั้นอีก แต่ใครไม่มี แม้สิ่งที่เขามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา”มธ.13:12; 25:29; ลก.19:26
  • 26 อุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น พระองค์ตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน
  • 27 กลางคืนเขาก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาไม่รู้
  • 28 เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง
  • 29 เมื่อสุกแล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”ยอล.3:13อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
  • 30 ( มธ.13:31-32 ; ลก.13:18-19 ) พระองค์ตรัสอีกว่า “แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด? หรือจะแสดงด้วยอุปมาอย่างไร?
  • 31 ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดเล็กๆ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในปาเลสไตน์ ต้นของมันขึ้นสูงถึงสาม สี่เมตรและมีกิ่งก้านเมล็ดหนึ่ง ตอนที่เพาะลงในดิน ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน
  • 32 แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้”การที่ทรงใช้อุปมา
  • 33 ( มธ.13:34-35 ) พระองค์กล่าวพระวจนะกับพวกเขาเป็นอุปมาหลายอย่าง เท่าที่พวกเขาจะสามารถฟังเข้าใจได้
  • 34 นอกจากอุปมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกับพวกเขาอีก แต่เมื่ออยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกสาวกการทรงห้ามพายุ
  • 35 ( มธ.8:23-27 ; ลก.8:22-25 ) เย็นวันนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งโน้นเถิด”
  • 36 เมื่อละจากประชาชนแล้ว พวกเขาจึงพาพระองค์ซึ่งประทับในเรือไปใน มก.4:1-2 บอกให้เราทราบว่าพระเยซูประทับในเรือเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนประชาชน มีเรืออีกหลายลำตามไปด้วยภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เรืออื่นอีกหลายลำอยู่กับพระองค์
  • 37 และมีพายุใหญ่เกิดขึ้น คลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนน้ำจวนจะเต็มเรืออยู่แล้ว
  • 38 ส่วนพระองค์กำลังบรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ?”
  • 39 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า “จงสงบเงียบ” แล้วลมก็สงบ พายุก็เงียบสนิท
  • 40 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้ากลัว? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?”
  • 41 พวกเขาก็เกรงกลัวอย่างยิ่ง และพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันหนอ? ขนาดลมกับทะเลยังเชื่อฟังท่าน?”
回到本卷目录 回到本版本目录 回到首页