1
การชโลมที่เบธานี ( มธ.26:6-13 ; มก.14:3-9 ) ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย
2
พวกเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์
3
มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ลก.7:37-38 เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น
4
แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศพระองค์) พูดว่า
5
“ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินสักสามร้อยเดนาริอันดูเชิงอรรถ ยน.6:7 แล้วแจกให้กับคนจน?”
6
เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป
7
พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา
8
เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอฉธบ.15:11 แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ”
9
แผนการปองร้ายลาซารัส พวกยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่มาเพราะพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายด้วย
10
ดังนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย
11
เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนแยกตัวไปและวางใจในพระเยซูพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
12
( มธ.21:1-11 ; มก.11:1-11 ; ลก.19:28-40 ) วันรุ่งขึ้น เมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลนั้นได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม
13
พวกเขาก็ถือทางอินทผลัมพากันออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า“โฮซันนา ในที่นี้เป็นข้อความแสดงการสรรเสริญ สดด.118:25-26 (ฉบับฮีบรู)ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าในข้อนี้และข้อ 38 หมายถึง พระเจ้า สดด.118:26คือ พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ”
14
และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นดังคำที่เขียนไว้ว่า
15
“ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลยจงดู กษัตริย์ของเธอเสด็จมาประทับบนลูกลา” ศคย.9:9
16
ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากพระเยซูทรงรับพระเกียรติแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และพวกเขาเองเคยทำอย่างนั้นถวายพระองค์
17
ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์เมื่อครั้งพระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น ก็เป็นพยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น
18
เหตุที่ฝูงชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญนั้น
19
พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “เห็นไหม? เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว”
20
พวกกรีกบางคนปรารถนาจะเห็นพระเยซู ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย
21
พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู”
22
ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซู
23
และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ
24
เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
25
คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์มธ.10:39; 16:25; มก.8:35; ลก.9:24; 17:33
26
ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
27
บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น “เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้ช่วงเวลานี้ หมายถึง เวลาแห่งการทดลอง การทดสอบ และการทนทุกข์’ อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้
28
ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า “เราให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก”
29
ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆ ว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับพระองค์”
30
พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อเรา
31
เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป
32
เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา”
33
พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร
34
ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์สดด.110:4; อสย.9:7; อสค.37:25; ดนล.7:14 ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?”
35
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
36
ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกของความสว่าง”พวกยิวไม่วางใจในพระเยซู เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา
37
ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์
38
ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึง พระเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ?และพระกรของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?” อสย.53:1
39
เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อวางใจไม่ได้ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า
40
“พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขาและทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไปเกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตาและเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย” อสย.6:10
41
อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์
42
อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา
43
เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า
44
พระดำรัสของพระเยซูเป็นหลักพิพากษา และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
45
และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา
46
เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด
47
เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด
48
ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
49
เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร
50
เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”