1
มหาปุโรหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ เรื่องที่เราพูดอยู่นื้มีข้อที่สำคัญคือ เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้ คือมหาปุโรหิตผู้ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งแห่งพระองค์ ผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ สดด. 110:12
เป็นผู้ปฏิบัติกิจในสถานศักดิ์สิทธิ์ และในเต็นท์แท้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง3
เพราะว่าพระองค์ทรงตั้งมหาปุโรหิตทุกคนขึ้น เพื่อให้ถวายของกำนัลและเครื่องบูชา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่มหาปุโรหิตผู้นี้จะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายด้วย4
ถ้าพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็จะไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิต เพราะว่ามีปุโรหิตที่ถวายของกำนัลตามพระบัญญัติอยู่แล้ว5
ปุโรหิตเหล่านั้นปฏิบัติกิจในเต็นท์ ที่เป็นแต่แบบและเงาแห่งศักดิ์สิทธิสถาน ดังโมเสสเมื่อท่านจะตั้งเต็นท์นั้น พระเจ้าก็ได้ตรัสสั่งว่า จงระวังทำทุกสิ่งตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา อพย. 25:406
แต่พระคริสต์ทรงปฏิบัติพันธกิจอันประเสริฐกว่าของปุโรหิตเหล่านั้น อย่างกับพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้กลางนั้น ก็ประเสริฐกว่าพันธสัญญาเดิม เพราะว่าได้ทรงตั้งขึ้นโดยพระสัญญาทั้งหลายอันประเสริฐกว่าเก่า7
เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก8
ด้วยว่าพระเจ้าตรัสติเขาว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ดูเถิดวันหนึ่งข้างหน้าเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับชนชาติอิสราเอลและชาติยูดาห์9
เป็นพันธสัญญาที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายในเมื่อเราจูงมือเขาเพื่อพาเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์เขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้วเราจึงได้ละเขาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ10
นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับชนชาติอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเราจะบรรจุพระธรรมของเราไว้ในจิตใจของเขาและเราจะจารึกพระธรรมบัญญัตินั้นไว้ที่ในดวงใจของเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขาและเขาจะเป็นชนชาติของเรา11
และเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนแต่ละคนว่า‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด12
เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขาและจะไม่จดจำบาปของเขาไว้เลย” ยรม. 31:31-3413
เมื่อพระองค์ตรัสถึง พันธสัญญาใหม่ พระองค์ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นพ้นสมัยไปแล้ว สิ่งที่พ้นสมัยและเก่าไปแล้วนั้นก็จะเสื่อมสูญไป