1
พระดำรัสสอนของพระเยซูเรื่องการหย่าร้าง ( มก. 10:1-12 ; ลก. 16:18 )เมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดีย ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก2
ฝูงชนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป แล้วพระองค์ทรงรักษาโรคของเขาให้หายที่นั่น3
พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์ทูลถามว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่”4
พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม ได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง ปฐก. 1:27; 5:25
และตรัสว่า เพราะเหตุนั้น บุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ปฐก. 2:246
เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”7
เขาจึงย้อนถามพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมโมเสสได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้” ฉธบ. 24:1-4; มธ. 5:318
พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมมิได้เป็นอย่างนั้น9
ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่างๆ เว้นแต่เป็นชู้กับชายอื่น แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี มธ. 5:32;1 คร. 7:10-11 สำเนาต้นฉบับโบราณบางฉบับ ไม่มีความตอนนี้[และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยา ก็ผิดประเวณีด้วย]”10
พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “ถ้าลักษณะสามีภรรยาเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นสามีภรรยากันเลยก็ดีกว่า”11
พระองค์ทรงตอบเขาว่า “มิใช่ทุกคนจะรับประพฤติตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่ทรงให้ประพฤติได้12
ด้วยว่าผู้ที่เป็นขันทีตั้งแต่กำเนิดก็มี ผู้ที่มนุษย์กระทำให้เป็นขันทีก็มี ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด”พระเยซูทรงอวยพรเด็กเล็กๆ 13
( มก. 10:13-16 ; ลก. 18:15-17 ) ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้14
ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น”15
เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนเด็กเหล่านั้นแล้ว ก็เสด็จไปจากที่นั่นเรื่องเศรษฐีหนุ่ม 16
( มก. 10:17-31 ; ลก. 18:18-30 ) ดูเถิด มีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์”17
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว แต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้”18
คนนั้นทูลถามว่า “คือพระบัญญัติข้อใดบ้าง” พระเยซูตรัสว่า “คือข้อที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อพย. 20:13; ฉธบ. 5:17 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อพย. 20:14; ฉธบ. 5:18 อย่าลักทรัพย์ อพย. 20:15; ฉธบ. 5:19อย่าเป็นพยานเท็จ อพย. 20:16; ฉธบ. 5:2019
จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน อพย. 20:12; ฉธบ. 5:16 และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ” ลนต. 19:1820
คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่า “ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการ ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง”21
พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วน จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา”22
เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก23
พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก24
เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า”25
เมื่อพวกสาวกได้ยินก็ประหลาดใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้”26
พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”27
แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง”28
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น มธ. 25:31 พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า ลก. 22:3029
ผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย30
แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น มธ. 20:16; ลก. 13:30