1
คำสารภาพของเอสราเรื่องบาปของอิสราเอล ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนนี้ประชาชนอิสราเอลได้ ชุมนุมกันถืออดอาหาร และนุ่งห่มผ้ากระสอบ และเอาดินใส่ศีรษะ2
และคนอิสราเอลได้แยกตนออกจากชนต่างชาติ และยืนสารภาพบาปของตน และสารภาพกรรมชั่วแห่งบรรพบุรุษของเขา3
และเขาลุกขึ้นในที่ของเขา และอ่านธรรมบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา อยู่สามชั่วโมง อีกสามชั่วโมงเขาสารภาพและนมัสการพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย4
เยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานีและเคนานี ได้ยืนขึ้นที่บันไดของคนเลวี และเขาได้ร้องด้วยเสียงดังต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขา5
แล้วคนเลวี เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ กล่าวว่า “จงยืนขึ้นและสรรเสริญพระเยโฮวาห์พระเจ้าของ ท่านทั้งหลายตั้งแต่นิรันดร์กาลจนนิรันดร์กาล” สาธุการแด่พระนามอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือการโมทนาและการสรรเสริญทั้งปวง6
พระองค์คือพระเยโฮวาห์ พระองค์องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์อันสูงสุดพร้อมกับบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์นั้น แผ่นดินโลกและบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น ทะเลและบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น และพระองค์ทรงรักษาสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นไว้ และบริวารของฟ้าสวรรค์ได้นมัสการพระองค์7
พระองค์คือพระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงเลือกอับราม และทรงนำท่านออกมาจากเมืองเออร์ แห่งประเทศเคลเดีย ปฐก. 12:1 และทรงประทานนามท่านว่าอับราฮัม ปฐก. 17:58
และพระองค์ทรงเห็นว่าน้ำใจของท่านซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกระทำพันธสัญญากับท่าน ที่จะประทานแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนเยบุสและคนเกอร์กาชี ปฐก. 15:18-21ให้แก่ เชื้อสายของท่าน และพระองค์ทรงกระทำให้พันธสัญญาของพระองค์สำเร็จ เพราะพระองค์ชอบธรรม9
“และพระองค์ทอดพระเนตรความทุกข์ใจของบรรพบุรุษของ ข้าพระองค์ในอียิปต์ อพย. 3:7และฟังเสียงร้องทุกข์ของ เขาทั้งหลายที่ทะเลแดง อพย. 14:10-1210
และพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์สู้ ฟาโรห์และข้าราชการทั้งสิ้น และต่อประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินของ ฟาโรห์ อพย. 7:8-12:32เพราะพระองค์ทรงทราบว่า เขาทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโสต่อบรรพบุรุษของ ข้าพระองค์และพระนามของพระองค์ก็ลือไป ดังทุกวันนี้11
และพระองค์ได้ทรงแยกทะเลต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาจึงเดินไปกลางทะเลบนดินแห้ง อพย. 14:21-29 และพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงผู้ไล่ตามเขาทั้งหลายลง ในที่ลึกอย่างกับทรงเหวี่ยงหินลงไปในมหาสมุทร อพย. 15:4-512
ยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ทรงนำเขาในกลางวันด้วยเสาเมฆ และในกลางคืนด้วยเสาเพลิง เพื่อให้แสงแก่เขาในทางที่เขาควรจะไป อพย. 13:21-2213
พระองค์เสด็จลงมาบนภูเขาซีนายและตรัสกับเขาจากฟ้าสวรรค์ และประทานกฎหมายอันชอบและธรรมบัญญัติที่แท้ กฎเกณฑ์และพระบัญญัติที่ดีแก่เขา14
และพระองค์ทรงให้เขาทราบถึงวัน สะบาโตบริสุทธิ์ของพระองค์ และทรงตราพระบัญญัติกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทาง โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ อพย. 19:18-23:3315
พระองค์ประทานอาหารแก่เขาจากฟ้าสวรรค์แก้ ความหิว อพย. 16:4-15 และทรงนำน้ำออกมาจากศิลาให้เขาแก้กระหาย อพย. 17:1-7 และพระองค์ทรงสั่งให้เขาเข้าไปยึดแผ่นดินซึ่ง พระองค์ทรงปฏิญาณว่า จะประทานให้เขานั้น ฉธบ. 1:2116
“แต่เขาทั้งหลาย คือ บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโส และแข็งคอของเขาเสียมิได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์17
เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบ ขึ้นท่ามกลางเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาส เขาในอียิปต์ กดว. 14:1-4; ฉธบ. 1:26-33 แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย มีพระทัยเมตตาและกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความรักมั่นคง อพย. 34:6; กดว. 14:18 และมิได้ทรงละทิ้งเขาทั้งหลาย18
แม้ว่าเขาทั้งหลายได้สร้างรูปโคหล่อไว้สำหรับตัว และกล่าวว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเรา ผู้ทรงนำเราขึ้นมาจากอียิปต์’ อพย. 32:1-4 และได้กระทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง19
ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร เสาเมฆซึ่งนำเขาในกลางวันมิได้พรากจากเขาไป หรือเสาเพลิงในกลางคืนซึ่งให้แสงแก่เขาตามทาง ซึ่งเขาควรจะไปก็มิได้ขาดไป20
พระองค์ประทานพระวิญญาณให้สั่งสอนเขา และมิได้ทรงยับยั้งมานา ดู หมายเหตุในอพยพ 16:31 ของพระองค์เสียจากปากของเขาทั้งหลายและประทาน น้ำแก้กระหายของเขา21
เออ พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และเขามิได้ขาดสิ่งใดเลย เสื้อผ้าของเขาไม่ขาดวิ่น และเท้าของเขามิได้บวม ฉธบ. 8:2-422
และยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ทรงมอบราชอาณาจักรและชนชาติทั้งหลาย แก่เขาและทรงปันให้เขาตามเขตแดน เขาจึงได้ยึดแผ่นดินแห่งสิโหนกษัตริย์แห่งเมืองเฮชโบน และแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งเมืองบาชาน กดว. 21:21-3523
พระองค์ทรงทวีเชื้อสายของเขาอย่างดวงดาวแห่ง ฟ้าสวรรค์ ปฐก. 15:5; 22:17 และพระองค์ทรงนำเขาเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ตรัสสั่งบรรพบุรุษของเขาให้ เข้าไปยึดนั้น ยชว. 3:14-1724
เชื้อสายเหล่านั้นจึงเข้าไปและยึดแผ่นดินนั้น พระองค์ทรงปราบปรามชาวแผ่นดินนั้น คือคนคานาอันให้พ้นหน้าเขาและทรงมอบเขาทั้งหลาย ไว้ในมือของเขา พร้อมกับพระราชาและชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น ให้ได้กระทำแก่คนเหล่านั้นตามชอบใจเขา ยชว. 11:2325
และเขาจึงเข้ายึดหัวเมืองที่มีป้อมและแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์เรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทั้งปวง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และต้นไม้ผลมากมาย เขาจึงได้กินอิ่มจนอ้วน และปีติยินดีในพระคุณยิ่งของพระองค์ ฉธบ. 6:10-1126
“ถึงกระนั้นก็ดี เขาดื้อและได้กบฏต่อพระองค์ เหวี่ยงธรรมบัญญัติของพระองค์ไว้เบื้องหลัง และได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ผู้ซึ่งได้ตักเตือนเขาเพื่อให้เขากลับมาหาพระองค์ และเขากระทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง27
เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา ผู้ซึ่งกระทำให้เขาทนทุกข์และในเวลาแห่งการทนทุกข์ ของเขานั้น เขาร้องทูลต่อพระองค์ และพระองค์ทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์ พระองค์ได้ประทานบรรดาผู้ช่วยแก่เขา ผู้ได้ช่วยเขาให้พ้นจากมือศัตรูของเขา ตามพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์28
แต่เมื่อเขาพักสงบแล้ว เขาก็กระทำความชั่วต่อพระพักตร์พระองค์อีก พระองค์จึงทรงสละเขาไว้ในมือศัตรูของเขา ศัตรูจึงได้ปกครองเขา ถึงกระนั้นเมื่อเขาหันมาร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์ทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์และพระองค์ทรงช่วยกู้ เขาไว้หลายครั้งหลายหน ตามพระกรุณาของพระองค์ วนฉ. 2:11-1629
และพระองค์ทรงตักเตือนเขา เพื่อว่าจะทรงหันเขาให้กลับมาสู่ธรรมบัญญัติของพระองค์ แต่เขาก็ยังประพฤติอย่างเย่อหยิ่งอวดดี ไม่ยอมเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ แต่ได้กระทำผิดต่อกฎหมายของพระองค์ (อันเป็นข้อปฏิบัติซึ่งมนุษย์จะดำรงชีพอยู่ได้) ลนต. 18:5 และได้หันบ่าดื้อและคอแข็งเข้าสู้และมิได้เชื่อฟัง30
พระองค์ทรงอดทนกับเขาอยู่หลายปี และทรงเตือนเขาด้วยพระวิญญาณของพระองค์ทาง ผู้เผยพระวจนะของพระองค์ เขาก็ยังไม่เงี่ยหูฟัง 2 พกษ. 17:13-18;2 พศด. 36:15-16 เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชนชาติ ทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น31
ถึงกระนั้นด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงกระทำให้เขาพินาศหรือละทิ้งเขาเสีย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาและพระกรุณา32
“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ฉะนั้นขอพระองค์อย่าทรงเห็นว่า ความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่สิ่งเล็กน้อย ซึ่งบังเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลาย กับบรรดาพระราชาของข้าพระองค์กับบรรดาเจ้านาย บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษและชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น ตั้งแต่สมัยพระราชา อัสซีเรีย 2 พกษ. 15:19, 29; 17:3-6; อสร. 4:2, 10 จนถึงวันนี้33
แต่ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ยุติธรรม เพราะพระองค์ทรงประกอบกิจอย่างเที่ยงตรง แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายประพฤติอย่างอธรรม34
บรรดาพระราชา เจ้านาย ปุโรหิตและบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย มิได้รักษาธรรมบัญญัติหรือเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงเตือนเขา35
เพราะเขาทั้งหลายมิได้ปรนนิบัติพระองค์ใน ราชอาณาจักรของเขา แม้พระคุณยิ่งของพระองค์ พระองค์ทรงประทานแก่เขาและแผ่นดินที่ใหญ่อุดม พระองค์ทรงยกให้แก่เขา และเขามิได้หันกลับจากการชั่วร้ายของเขา36
ดูเถิด วันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นทาส เป็นทาสในแผ่นดินที่พระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อให้ได้รับประทานพืชผลกับของอันดีของมัน37
และผลิตผลอันมากมายของแผ่นดินนั้นก็ตกแก่พระราชา ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งไว้เหนือข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเหตุ บาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาทั้งหลายมีอำนาจเหนือร่างกายและเหนือฝูงสัตว์ของ ข้าพระองค์ทั้งหลายตามความพอใจของเขาทั้งหลาย และข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์นัก”38
ประชาชนกระทำพันธสัญญาว่าจะถือรักษาธรรมบัญญัติ เหตุสิ่งเหล่านี้เราทั้งหลายจึงกระทำพันธสัญญามั่นคง และบันทึกไว้ เจ้านาย คนเลวีและปุโรหิตของเราทั้งหลาย จึงประทับตราของเขาไว้